Bim Posted on 6:30 am

“ยาพารา” กับการแนะนำวิธีการใช้ยาแบบถูกต้องและเหมาะสมที่สุด

เป็นที่ทราบกันอย่างดีอยู่แล้วว่ายาพาราเซตามอล หรือ ที่ทุกๆคนเรียกว่า ยาพารา นั้น มีสรรพคุณในการใช้รักษาอาการปวดต่างๆไม่ว่าจะเป็น อาการปวดศีรษะ หรือ อาการปวดตามบาดแผล ปวดหลัง ที่เราเคยเรียกกันว่ายาพารารักษาทุกโรค  สำหรับวันนี้กลับมาพบกันในบทความสุขภาพนักเขียนจะพาเพื่อนๆที่ติดตามรับชมข่าวสารดูแลสุขภาพดีๆไปรับชม วิธีการใช้ยาพาราแบบถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการทานเพื่อรักษาอาการเจ็บปวดต่างๆ หรือการบรรเทาอาการปวดศรีษะ ได้มารับชมกันแบบวิธีที่ถูกต้องเหมาะสมและใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดกันค่ะ

ยาพารา

การกิน “ยาพารา” แบบไหนถึงจะเรียกว่าถูกต้อง

รู้หรือไม่ว่ายาพาราเซตามอลนั้นจัดเป็นยาสามัญประจำบ้านที่สามารถหาใช้ได้ง่ายนอกจากนี้ยังมีราคาที่ถูกและสามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ซึ่งอันที่จริงนั้นยาพาราเซตามอลนี้ก็มีส่วนของ acetaminophen โดยอยู่ในตระกูลของยาแก้ปวด ที่ใช้บรรเทาอาการแก้ปวดศีรษะ ปวดหัว หรืออาการปวดตามข้อต่างๆ ยาพาราเซตามอลก็สามารถใช้บรรเทาอาการเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี

โดยมีทั้งชนิดเม็ด และชนิดน้ำ และอันที่จริงการทานยาพาราแต่ละครั้งนั้นควรจะคำนึงถึง อาหารเพื่อสุขภาพ น้ำหนักตัวเป็นอันดับแรก เพราะยาพาราเซตามอลจะมี mg ที่เหมาะสมกำหนดไว้กับน้ำหนักตัวของผู้ใช้ยา “นอนยาก” กับวิธีที่ว่าจะทำอย่างไรให้หลับสนิทได้ตลอดทั้งคืน? ดังนั้นวิธีการใช้ยาพาราเซตามอลแบบถูกต้องและเหมาะสมที่สุด ก็คือการทานยาให้สัมพันธ์กับน้ำหนัก ยกตัวอย่างเช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ก็ควรทานครั้งละ 1 เม็ดเท่านั้น ยาจึงจะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด

ยาพารา

จะเห็นได้ว่าสิ่งสำคัญสำหรับวิธีการใช้ยาพาราแบบถูกต้องและเหมาะสมที่สุดนั้น อันดับแรกเลยจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้ใช้ยา และยาพาราเซตามอลก็มีขนาดของ mg ที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นควรมีการเลือกความแรงของยาพาราเซตามอลให้สัมพันธ์กับน้ำหนักตัวของผู้ใช้ยาและอยู่ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน ufabet88888 ยกตัวอย่างเช่นการรับประทานยาในช่วง 4-6 ชั่วโมง ตัวในแต่ละวันสิ่งสำคัญเลยก็คือไม่ควรรับประทานยาขนาดเกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ยาได้ เป็นต้น 

Bim Posted on 6:30 am

“ยาพาราเซตามอล” รู้หรือไม่ว่ามีกี่ชนิด และแต่ละชนิดต้องทานยอย่างไร

ถ้าหากจะพูดถึง ยาพาราเซตามอล หลายคงจะทันทีเลยว่าเป็นยาพาราที่สามารถใช้รักษาทุกโรคได้และเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ถึงบ้านจำเป็นต้องมี อันที่จริงนั้นยาพาราไม่สามารถรักษาทุกโรคได้ แต่มักจะรักษาได้ดีในเรื่องของอาการปวดไม่ว่าจะเป็นอาการปวดศีรษะ ปวดหลัง ปวดไหล่ โดยส่วนผสมของ acetaminophen  จะช่วยบรรเทาอาการแก้ปวดได้เป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่ายาพาราเซตามอลนั้นไม่ได้มีเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น สำหรับวันนี้นักเขียนจะพาเพื่อนๆชาวบอร์ดสุขภาพไปรู้จักกับชนิดของยาพาราเซตามอล ไม่ว่าจะเป็นมิลลิกรัมที่แตกต่างและวิธีการทานที่แตกต่างกัน ให้เพื่อนๆได้มีความเข้าใจในการใช้ยามากยิ่งขึ้น

ยาพาราเซตามอล

“ยาพาราเซตามอล” มีกี่ชนิด และต้องทานอย่างไรให้เหมาะสม

พาราเซตามอล 325 mg

ยาพาราเซตามอลชนิดนี้จัดเป็นยาพาราเซตามอลที่มีปริมาณมิลลิกรัมที่น้อยที่สุด โดยจะใช้สำหรับผู้ที่ใช้ยาที่มีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 22 กิโลกรัมไปจนถึง 67 กิโลกรัม ตั้งแต่ 1 เม็ดไปจนถึง 2 เม็ด ซึ่งปริมาณยาที่ต้องการรับนั้นก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้ใช้ยาด้วยนะคะ

พาราเซตามอล 500 mg

ยาพาราเซตามอลตัวนี้เป็นยาพาราที่หลายคนคุ้นเคยกันดีใน อาหารเพื่อสุขภาพ โฆษณาต่างๆ หรือ แม้กระทั่งในร้านขายยาก็มักจะขายยาพาราเซตามอล 500 mg ให้กับคุณหากคุณมีอาการปวดศีรษะ “โรคความดันโลหิตสูง” กับวิธีการรับมือกับโรคนี้อย่างถูกต้อง โดยตัวยานี้จะสามารถใช้ได้ตั้งแต่ผู้ใช้ที่มีน้ำหนักตัว 33 กิโลกรัมจนถึง 67 กิโลกรัมเป็นต้นไป 

ยาพาราเซตามอล

พาราเซตามอล 650 mg

 ยาพาราเซตามอลตัวนี้จัดเป็นยาพาราเซตามอลที่มีขนาดกี่กรัมมากที่สุดและออกฤทธิ์ได้ยาวนานมากที่สุดเลยนะคะ โดยจะใช้ตั้งแต่ผู้ที่มีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 14 กิโลกรัมเป็นต้นไป และเริ่มทานที่ 2 เม็ดค่ะ ซึ่งจะมากกว่ายาพาราเซตามอลชนิดอื่นๆ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อนๆหลังจากที่นักเขียนได้พาเพื่อนๆไปรู้จักกับชนิดของยาพาราเซตามอล ที่มีขนาดและจำนวน mg ที่แตกต่างกันออกไป  ซึ่งเพื่อนๆหลายคนอาจจะเคยสงสัยว่า mg ของยาพาราเซตามอลนั้นแตกต่างกันอย่างไร บอกเลยว่า Gclub1688 การใช้ยาพาราเซตามอลที่มีการแตกต่างกันนั้น ก็ควรมีคำสั่งจากแพทย์หรือให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัวและอาการเจ็บปวด 

Bim Posted on 6:30 am

อาหารที่ควรทานในช่วง ออกกำลังกาย ช่วยเพิ่มกำลัง เพิ่มแรงให้เราได้

ว่าด้วยเรื่องของการ ออกกำลังกาย ต้องบอกเลยว่าหากว่าเรานั้นได้ทานอะไรเพื่อเป็นการเพิ่มพลังงานดี ๆ เพิ่มแรงในการออกกำลังกาย วันนี้แอดอยากจะมา แนะนำ 3 อาหารที่ควรทานในช่วงออกกำลังกาย เพิ่มกำลัง เพิ่มแรงให้เราได้ ดีต่อสุขภาพแน่นอน เผื่อว่าใครเป็นสายออกกำลังจะได้ถือเผ็นการเพิ่มแรงดี ๆ ให้กับเราได้

แนะนำอาหารที่ควรทานเพื่อช่วยในการ ออกกำลังกาย

อาหารที่ควรทานเพื่อช่วยในการ ออกกำลังกาย

มาเริ่มกันที่อาหารที่ควรทานในช่วยออกกำลังกาย ประเภทแรก นั้น คือ ลูกเกด เป็นอีกผลไม้ที่ให้คาร์โบไฮเดรต และช่วยเสริมกำลังที่ดีให้กับสุขภาพร่างกายของเราได้ เป็นอีกอาหารที่เรานั้นนิยมทานกันก่อนการออกกำลังกาย สายคชอบออกกำลังกายจะต้องลอง เพิ่มพลังงานดี ๆ ให้กับสายคนออกกำลังใจ ให้มีแรง ไม่เหนื่อยง่าย ๆ แน่นอน

อาหารที่ควรทานเพื่อช่วยในการ ออกกำลังกาย

อาหารที่ควรทานไปออกกำลังกาย ประเภทต่อมา เป็นอีกหนึ่งอาหารที่เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนชอบทานก่อนออกกำลังกาย นั้นก็คือกล้วยนั้นเองเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ให้สารโพแทสเซียมดี ๆ กับร่างกาย สามารถทานเพื่อช่วยลดอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อเราได้ดี สามารถนำมาทานได้แบบง่าย ๆ สบายท้องอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพและมีความเหมาะกับคนที่รักสุขภาพ

อาหารที่ควรทานเพื่อช่วยในการ ออกกำลังกาย

อาหารที่ควทานช่วยออกกำลังกายเป็นการเพิ่มพลัง อย่างสุดท้ายที่จะขอพูดถึงในวันนี้ คืออาหารประเภทธัญพืชและถั่วชนิดต่าง ๆ นั้นเอง เนื่องจากอุดมไปด้วยแมกนีเซียมที่สามารถช่วยระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทและสมองให้สามารถทำงานได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การออกกำลังกายของเรานั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั้นเอง

ทั้งหมดก็เป็นอาหารที่สามาถทานช่วงออกกำลังกายเป็นอาหารที่ช่วยเพิ่มพลังงานดี ๆ ให้กับเรานั้นเอง สายคนชอบออกกำลังกาย งานนี้ไม่ควรมองข้าม เพิ่มประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพ และพลังงานดี ๆ เสริมกำลัง

ติดตามอาหารเพื่อสุขภาพ และติดตามข่าวสุขภาพอื่นๆ เช่น ปานแดง ที่เขาว่าไม่อันตราย แท้จริงควรปล่อยทิ้งไว้หรือไม่?

Bim Posted on 6:30 am

อาการ เจ็บแปล๊บ ของกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกาย เกิดจากอะไร?

การเจ็บป่วยเล็กน้อยหลายครั้งมักจะสร้างความหงุดหงิดกวนใจเมื่อเกิดอาการไม่น้อย หนึ่งในอาการเจ็บปวดอย่างเช่น การ เจ็บแปล๊บ ที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในร่างกาย มักจะเกิดขึ้นได้ทั่วทั้งร่างกายไม่ว่าจะเป็นที่หัวไหล่ แขน ข้อมือ ข้อเท้า แต่ที่พบได้มากและบ่อยที่สุด มักจะเป็นอาการเจ็บแปล็บในบริเวณขา หากมีอาการปวดมาก ก็อาจทานยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาแก้ปวดได้ แต่อาการเจ็บแปล๊บๆ ที่มักเกิดขึ้นบ่อย แต่มักจะเจ็บเป็นพักๆ ซึ่งหลายคนสงสัยว่าจะเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ และมีสาเหตุเกิดจากอะไร โดยเราจะมีอธิบายให้เข้าใจแบบง่าย ดังนี้

เจ็บแปล๊บ

สาเหตุของอาการ เจ็บแปล๊บ ตามร่างกาย

การออกกำลังกายหักโหม หรือ ออกกำลังกายผิดท่า

การออกกำลังกายแบบชนิดที่หักโหมเกินไปจนเกินกว่าร่างกายจะรับไหว อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อมีอาการเจ็บแปล๊บๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา หัวไหล่ โดยมักจะเกิดขึ้นกับนักกีฬาเป็นส่วนใหญ่ เพราะกล้ามเนื้อทำงานหนักมากกว่าการทำงานแบบปกติทั่วไป จนอาจทำให้กล้ามเนื้อรู้สึกเจ็บแปล๊บ หรือเสียวจิ๊ดๆ ได้ หากไม่มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อร่วม สามารถหายได้ภายใน 1-2 วัน

แต่ถ้าหากกังวลแนะนำให้ลองใช้วิธีประคบร้อนเย็นสลับในบริเวณที่รู้สึกเจ็บได้ หรือนวดยาได้เช่นกัน อีกสาเหตุหนึ่งคือ การออกกำลังกายผิดท่า ยกตัวอย่างเช่น การเล่นโยคะผิดท่าทางจากท่าปกติทั่วไป อาจจะทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายบริเวณใดบริเวณหนึ่ง รู้สึกเคล็ดขัดยอกในตอนแรก และซักระยะอาจรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ ได้เช่นกัน โดยทั่วไปหากไม่มีอาการรุนแรงมักจะหายเจ็บไปเอง แต่ถ้ารู้สึกปวดมาก ให้ทานยาคลายกล้ามเนื้อ หรือรีบไปพบแพทย์จะดีกว่า

เจ็บแปล๊บ

นั่งท่าเดิม หรือนอนท่าเดิมเป็นเวลานาน

การนั่งท่าเดิม หรือนอนท่าเดิมเป็นเวลานาน อาจทำให้ปลายประสาทรู้สึกชาได้ จนมีอาการเจ็บ หรือรู้สึกเหน็บชาได้เช่นกัน โดยทั่วไปหากเริ่มมีอาการเจ็บกล้ามเนื้อนั้น ผู้ป่วยมักจะนั่งท่าเดิม หรือ นอนท่าเดิมอยู่เป็นประจำอย่างไม่รู้ตัว เช่น คนขับรถทางไกลที่มักจะต้องอยู่ในอิริยาบถเดิมเป็นเวลานานหลายชั่วโมง หรือแม้แต่พนักงานออฟฟิศ ที่ไม่ค่อยลุกเดิน นั่งอยู่หน้าจอเป็นเวลานาน วิธีแก้ไข แค่เพียงลุกเดินขยับร่างกายบ้าง หากรู้สึกเมื่อยล้าร่างกายเท่านั้นเอง

ยกของหนัก

การยกของหนักเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของอาการเจ็บกล้ามเนื้อ โดยสัญญาณแรกคือ มักจะปวดแปล๊บๆ อยู่เป็นประจำ ซึ่งมักจะเป็นอาการเริ่มต้นของกล้ามเนื้ออักเสบได้ วิธีแก้คือ ควรหยุดพักร่างกายก่อน เมื่อปวดมากให้ลองนวดยา หรือทานยาแก้ปวด แต่ถ้ายังรู้สึกไม่ดีขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตามอาการเจ็บแปล๊บบริเวณกล้ามเนื้อนั้น มักจะเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายที่ไม่ควรละเลย ดังนั้นหากมีอาการเป็นประจำ หรือนานมากกว่าสัปดาห์ควรจะรีบไปปรึกษาแพทย์ดีกว่า เพื่อเป็นการป้องกันและสามารถรู้สาเหตุที่แท้จริงได้อีกด้วย

ติดตามอาหารเพื่อสุขภาพ และติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ เช่น ยืด เหยียดง่ายๆ ช่วยรักษาอาการของโรค “หมอนรองกระดูกเสื่อม”

Bim Posted on 6:30 am

ยืด เหยียดง่ายๆ ช่วยรักษาอาการของโรค “หมอนรองกระดูกเสื่อม”

หมอนรองกระดูกเสื่อม เป็นโรคชนิดหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน สามารถเกิดโรคนี้ได้ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป โดยผู้ที่เสี่ยงในการเป็นโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม ก็คือ ผู้สูงอายุ หรือคนชรา นอกจากผู้สูงอายุที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหมอนรองกระดูกเสื่อมแล้ว ผู้ที่มีความเสี่ยงในโรคนี้อีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มคนที่ต้องยืนเป็นเวลานาน นั่งเป็นเวลานาน หรือต้องเดินเป็นเวลานานติดต่อกันหลายชั่วโมงจากการทำงาน เพราะสาเหตุที่เกิดจากการยืน นั่ง เดิน  เป็นเวลานาน ๆ นั้น ส่งผลให้หมอนรองกระดูกเสื่อมได้ง่าย 

หมอนรองกระดูกเสื่อม

โรคหมอนรองกระดูกเสื่อมจะมีการแสดงออกของอาการอย่างชัดเจน โดยลักษณะอาการที่แสดงออกว่าคุณเสี่ยงต่อการเกิดโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม คือ

  • แสดงอาการปวดที่ต้นคอ และร้าวมาที่ไหล่
  • รู้สึกปวดหน่วง ๆ บริเวณเอว หรือรอบ ๆ เอว 
  • ในผู้ป่วยบางรายจะมีอาการปวดร้าวมาที่แขน หรือปวดร้าวลงมาที่ขาได้
หมอนรองกระดูกเสื่อม

หากคุณมีกำลังมีอาการเหล่านี้ ที่จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม ควรที่จะหันกลับมาดูและตัวเองโดยเร็ว เพราะ หากรักษาอย่างถูกวิธี และรวดเร็ว ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างถูกวิธี ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่เกิดจากการเป็นโรคหมอนรองกระดูกเสื่อมได้

การออกกำลังกาย ยืด เหยียด อย่างถูกวิธีช่วยรักษา หมอนรองกระดูกเสื่อม

การที่จะให้ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม มาขยับ เอี้ยวตัว เพื่อที่จะออกกำลังกาย ผู้ป่วยบางท่านอาจคิดว่า ยิ่งออกกำลังกาย ยิ่งขยับ ก็จะทำให้ร่างกายเกิดความเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้น ความคิด !! นี้ เป็นความคิดที่ผิดนะคะ เพราะ การขยับตัวเพื่อออกกำลังกายอย่างถูกวิธีนั้น จะช่วยรักษาอาการปวดที่เกิดจากโรคหมอนรองกระดูกเสื่อมได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ เพราะ การที่เราขยับเพื่อออกกำลังกาย จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลังของเรา มีความแข็งแรงมากขึ้น

หมอนรองกระดูกเสื่อม

ออกกำลังกายท่าง่าย ๆ เริ่มที่

  • การยืดกล้ามเนื้อต้นคอ : ทำในท่าที่ผ่อนคลาย โดยการก้มศีรษะไปข้างหน้าให้คางชิดกับคอของเรา นับ 1-10 วินาที อย่างช้า ๆ ท่าต่อไปหมุนคอเป็นวงกลมอย่างช้า ๆ โดยนับ 1-10 วินาทีเช่นกัน
  • ยกขาแนบชิดอก : โดยการนอนรอบลงกับพื้น และยกขาขึ้นมา 1 ข้าง ทำให้เข่าชิดกับหน้าอกของเรา ท่านี้นับค้างไว้ข้างละ 15 วินาที ทำสลับกันทั้งสองข้างไปมาประมาณข้างละ 10 ครั้ง
  • ท่าบริหารกล้ามเนื้อเชิงกราน : ให้นอนราบลงกับพื้น และมือทั้งสองข้างแนบชิดติดกับลำตัว หลังจากนั้นให้เกร็งหน้าท้อง นับค้างไว้ประมาณ 10 วินาที และผ่อนคลายตัวเอง โดยทำประมาณ 10 ครั้ง

ติดตามอาหารเพื่อสุขภาพ และติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ เช่น ห่างไกล “โรคอ้วน” ได้ง่าย ๆ เพียงเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน

Bim Posted on 6:30 am

“พาราเซตามอล” กินมากไป อาจเสี่ยงภัย อันตรายถึงชีวิต!

พาราเซตามอล คือยาสามัญประจำบ้านที่คุณอาจคิดว่าไม่อันตราย สามารถกินได้บ่อยๆ แต่ความจริงก็คือยาทุกชนิดกินมากไปก็ทำให้เกิดอันตรายได้ และการกินยาพาราเซตามอลมากไปก็เป็นอันตรายจนอาจถึงตายได้ทีเดียว

อันตรายเมื่อใช้ยาพาราเซตามอลมากเกินไป

การกินยาพาราเซตามอลมากเกินไปจะส่งผลต่อตับ โดยจะทำให้ตับทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ทำให้ตับอักเสบ หรือทำให้เข้าสู่ภาวะตับวายเฉียบพลันซึ่งจะทำให้เสียชีวิตได้ และถ้ากินยาพาราเซตามอลมากไปในช่วงแรกบางคนก็อาจไม่มีอาการ แต่ในบางคนก็จะมีอาการเหล่านี้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออกผิดปกติ และเบื่ออาหาร 

พาราเซตามอล

แบบไหนที่เรียกว่าใช้ พาราเซตามอล มากเกินไป

-กินทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกปวดหรือเป็นไข้ แม้ว่าอาการนั้นจะไม่ถึงขั้นต้องนอน ซึ่งบางคนก็กินยาพาราเซตามอลดักก่อน เพราะคิดว่าการกินดักจะช่วยไม่ให้อาการมากขึ้น ซึ่งการกินพาราเซตามอลมากไปจะเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้มากขึ้นด้วย 

-กินยา 1 ครั้ง โดยใช้ยาปริมาณเกินกว่า 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว (กิโลกรัม)

-กินยาเกินครั้งละ 1-2 เม็ด ต่อทุก 4-6 ชั่วโมง 

-กินยาเกิน 8 เม็ดต่อวัน หรือ 4 กรัมต่อวัน

-เมื่อลืมกินยาในมื้อใดก็คิดว่าต้องไปกินเบิ้ลในมื้อถัดไป ซึ่งความจริงแล้วไม่ควรทำอย่างยิ่งเ พราะจะทำให้ได้รับยาเกินขนาด

-กินยาพาราเซตามอลติดต่อกันยาวนานเป็นเดือนๆ เป็นปีๆ แบบนี้ไม่ไหวแน่ๆ ซึ่งตามปกติแล้วหากเป็นการกินพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวดทั่วไป ก็ไม่ควรกินเกิน 5 วัน และถ้าต้องกินมากกว่านี้ก็ควรปรึกษาคุณหมอโดยด่วน

พาราเซตามอล

เลี่ยงใช้ยาด้วยวิธีง่ายๆ

ยาพาราเซตามอลใช้เพื่อบรรเทาความรู้สึกปวดทรมานมากกว่า ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อการรักษาโดยตรง ซึ่งยาพาราเซตามอลจะช่วยยับยั้งสารเคมีบางอย่างในสมองของเราซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับอาการปวด จัดเป็นยาช่วยบรรเทาอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง และช่วยลดไข้ได้ ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้เจ็บปวดมาก หรือไม่ได้ถึงกับเป็นไข้ คุณก็ควรเลี่ยงการใช้ยาพาราเซตามอล และใช้ต่อเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ 

ติดตามอาหารเพื่อสุขภาพ และติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับยาอื่นๆ เช่น กินวิตามินมากไป ก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าจะได้ประโยชน์

Bim Posted on 6:30 am

อาการ “สายตามัว” มองไม่ชัด จะสามารถแก้ไขอย่างไรได้บ้าง?

คนที่มีสายตาดี สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจน ถือว่าเป็นคนที่มีความได้เปรียบในชีวิตอย่างมาก แต่หากคุณมีภาวะตา สายตามัว มองอะไรก็ไม่ค่อยชัด อาจเกิดความสงสัยว่าสายตาเปลี่ยนหรือไม่เช่นอาจจะสายตาสั้นลงหรือยาวขึ้นหรืออาจเกิดจากภาวะโรคต่างๆ ดังนั้น จึงควรให้ความใส่ใจและหาวิธีรับมือกับภาวะ สายตามัว นี้ ซึ่งสามารถทำได้ดังต่อไปนี้

สายตามัว แก้ไขได้ยังไง

สายตามัว
  1. ความผิดปกติของสายตา ที่ทำให้สายตามัว มองเห็นภาพไม่ชัด ดังนั้นคุณอาจจะต้องปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อทำการวัดระดับสายตาเพื่อดุว่าอยู่ในภาวะปกติหรือไม่ หากสายตามีการเปลี่ยนแปลง คุณก็อาจจะต้องตัดแว่นหรือใส่คอนแทคเลนส์ แต่หากมีความผิดปกติอื่นๆของดวงตา จักษุแพทย์จะให้คำแนะนำที่เหมาะสมในการรักษา
  2. หากคุณมีอายุมากขึ้น โดยมีอายุมากกว่า 30 ปี และเริ่มรู้สึกว่าต้องยื่นโทรศัพท์หรือหนังสืออกไปไกลตัวเพื่อที่จะอ่านได้ เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าสายตาของคุณเริ่มยาวแล้ว ดังนั้นจึงอาจใช้แว่นสำหรับสายตายาวเพื่อช่วยในการอ่านหนังสือหรือใช้โทรศัพท์
  3. สายตามัว มองไม่ชัด ร่วมกับมีอาการตาแดง คัน อักเสบ ร่วมกับมีภาวะขี้ตามากในตอนตื่นนอน อาจมีสาเหตุมาจากตาแดงที่เกิดจากการติดเชื้อ อย่างเริม หรือเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียต่างๆ ซึ่งหากมีอาการเช่นนี้ให้รีบพบแพทย์โดยด่วนเพื่อทำการรักษา
  4. ใส่คอนแทคเลนส์นอน หลายคนทำงานยุ่งทั้งวัน กลับมาก็เหนื่อยและมักจะนอนหลับไปทั้งที่ยังใส่คอนแทคเลนส์อยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก หากสายตาเริ่มมัวอาจเป็นไปได้ว่าเริ่มมีการติดเชื้อหรือเกิดรอยขีดข่วนบนพื้นผิวดวงตา ดังนั้นควรรีบถอดคอนแทคเลนส์ออกเมื่อไม่ได้ใช้งาน และเปลี่ยนใหม่ในทุกๆวัน
  5. ตาเป็นต้อกระจก เป็นภาวะที่พบได้มากโดยเฉพาะคนที่มีอายุมากและเลนส์ตาเริ่มเสื่อมสภาพตามวัย เมื่อมีอาการ สายตามัว โดยที่ไม่มีอาการเจ็บปวด ร่วมกับอายุที่มากขึ้น ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด

สาเหตุของ สายตามัว ต่างๆดังที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยครั้ง ดังนั้นหากมีภาวะดังกล่าว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นโดยเร็วที่สุด

ที่มาของภาพ : freepik.com

ติดตามข่าวสุขภาพและแนะนำ! วิธีการทำ ยาสระผมจากสมุนไพร ใกล้ตัวง่ายๆ ได้ผลดี

Bim Posted on 6:30 am

ธาราบำบัด หรือการออกกำลังกายในน้ำ สามารถรักษาโรคได้อย่างไร

หลายท่านอาจจะคิดถึงการออกกำลังกายบ้าง แต่คงมีส่วนน้อยที่คิดไปถึงการออกกำลังกายในน้ำ การเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายในน้ำ มีความหมายเดียวกับศัพท์ “ธาราบำบัด” (Aquatic Therapy) หมายถึงการบำบัดรักษาโรคและอาการผิดปกติต่างๆ ด้วยการให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวหรือลอยตัวในน้ำ และใช้คุณสมบัติทางฟิสิกส์ของน้ำ เรื่องแรงลอยตัว (buoyancy force) มาช่วยพยุงร่างกายของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ลดแรงกระแทก และช่วยบรรเทาความเจ็บปวด  ซึ่งการที่ผู้ป่วยอยู่ในระดับน้ำที่ลึกมากเท่าใด ก็เท่ากับจะได้รับแรงช่วยพยุงร่างกายจากน้ำได้ดียิ่งขึ้นตามไปด้วย  ขณะเดียวกัน คุณสมบัติอีกข้อหนึ่งของน้ำคือ ความหนืด (viscosity) ยังช่วยให้ผู้ป่วยปรับสมดุลการทรงตัวได้ทันในขณะที่เซ อันเป็นการป้องกันไม่ให้ล้มลงไปอีกด้วย

ธาราบำบัด

ประโยชน์ของ ธาราบำบัด

การออกกำลังกายในน้ำหรือธาราบำบัดมีประโยชน์มากมายสำหรับทุกคน เพราะเพิ่มความแข็งแรงให้แก่กล้ามเนื้อ เสริมสร้างความแข็งแรงทนทานให้ระบบหัวใจ ปอด และอวัยวะต่างๆ  และเป็นการรักษาโรคโดยตรงสำหรับกลุ่มผู้สูงวัยที่มีปัญหาเรื่องการทรงตัว และข้อเข่าเสื่อม กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ และกลุ่มคนที่มีอาการผิดปกติทางการเคลื่อนไหว 

เคยมีตัวอย่างความสำเร็จในการฟื้นฟูสภาพร่างกายของนักเรียนพิการแปดคนจากโรงเรียนบ้านเขาตันหยง มิตรภาพที่ 153 อ.เมือง จ.นราธิวาส ด้วยวิธีออกกำลังกายในน้ำ (ธาราบำบัด) เมื่อปี 2555-2556 นำโดยครูศรีลดา  ยัมมี ผู้ที่มีความมุ่งมั่นให้นักเรียนของเธอช่วยเหลือตนเองได้  ซึ่งภายหลังทำกิจกรรมสัปดาห์ละสองครั้งเป็นเวลาแปดเดือน ถือว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นค่อนข้างชัดเจน 

ธาราบำบัด

นั่นคือ สำหรับเด็กที่บกพร่องทางร่างกาย นั่งบนรถเข็นไม่ได้นานเพราะปวดเอว เมื่อฝึกลอยตัวในท่านอนหงายและว่ายน้ำท่าผีเสื้อ ปรากฏว่าอาการปวดเอวลดลง นั่งรถเข็นได้ตลอดทั้งวัน  หรือเด็กที่สมองพิการ มีอาการเกร็งต้องใช้ไม้ช่วยพยุงเดิน เมื่อได้ออกกำลังกายในน้ำด้วย 10 กระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง เขาก็สามารถเดินเองได้ 

นอกจากนี้ ยังมีเด็กที่ยืนและเดินไม่ได้เลย แต่เมื่อได้รับการฝึกการทรงตัวและออกกำลังกายในน้ำด้วยท่าต่างๆ ผลคือ เด็กสามารถประคองตัวได้ ทั้งยังมีทัศนคติที่ดีต่อการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายซึ่งมีแนวโน้มว่าจะยืนและเดินต่อไปได้  เป็นต้น

อย่างไรก็ดี การออกกำลังกายในน้ำหรือธาราบำบัดก็มีข้อควรระวังบางประการ ซึ่งผู้ที่สนใจหรือตัวผู้ป่วยที่เลือกใช้วิธีนี้จำเป็นจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัดหรือพี่เลี้ยงอย่างใกล้ชิดด้วย   

ติดตามข่าวสุขภาพและติดตามชวนทุกคนมาปรับพฤติกรรม การขับถ่าย เพื่อสุขภาพที่ดีกันเถอะ

Bim Posted on 1:50 pm

ชวนทุกคนมาปรับพฤติกรรม การขับถ่าย เพื่อสุขภาพที่ดีกันเถอะ

ปัญหาเรื่อง การขับถ่าย ของคนในยุคปัจจุบันนี้ถือว่าพบได้บ่อยมากๆ ซึ่งเกิดจากทำงาน การพักผ่อนไม่เป็นเวลา ความเครียด หรือแม้แต่ในบางครั้งที่ไม่มีแม้แต่เวลาจะได้ไปขับถ่าย ยิ่งในงานบางประเภทแล้วบางทีก็เป็นต้นเหตุให้เกิดอาการท้องผูก และก็กลายเป็นปัญหาเรื่องการขับถ่ายเรื้อรังจนเกิดเป็นริดสีดวง สำหรับคนที่เคยเป็นก็คงจะรู้ถึงความเจ็บปวดของโรคนี้แน่นอน 

วิธีที่จะช่วยปรับพฤติกรรม การขับถ่าย

วิธีที่จะช่วยปรับพฤติกรรมการขับถ่าย อยู่ที่ตัวเราก่อนอันดับแรกไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน หรือการพยายามปรับเวลาการขับถ่ายให้เป็นเวลาเดิมทุกวัน

การขับถ่าย

การดื่มน้ำเปล่า เป็นวิธีแรก ที่ง่ายและใกล้ตัวมากที่สุด สำหรับคนที่รักสุขภาพจะทราบกันดีว่าน้ำเปล่ามีประโยขน์มากต่อระบบขับเคลื่อนในร่างกายของคนเราและน้ำเปล่านี่แหละจะช่วยให้การขับถ่ายได้คล่อง ไม่เจอปัญหาเรื่องท้องผูกอีกด้วย

การกินมะละกอสุก ถือเป็นผลไม้อันดับต้นๆสำหรับคนที่มีอาการท้องผูกจะนึกถึง เพราะส่วนใหญ่เมื่อกินแล้วจะได้ผลดีแทบทุกราย ถ้าไม่ใช่อาการที่รุนแรงถึงขนาดขับถ่ายไม่ออกเลยหรือไม่ได้ขับถ่ายมาเป็นเวลาหลายวันหรือเป็นอาทิตย์ขึ้นไป ลักษณะแบบนี้ควรจะเข้าพบแพทย์จะดีที่สุด เพราะมีความเสี่ยงมากที่จะเป็นริดสีดวง 

การขับถ่าย

การกินกล้วยน้ำว้าสุก ส่วนใหญ่แล้วการกินกล้วยน้ำว้าสุกจะเหมาะสำหรับคนที่มีอาการของริดสีดวง ซึ่งจะช่วยลดอาการเจ็บปวดเวลาขับถ่ายได้ เพราะในกล้วยน้ำว้าสุกจะมีเมือกและไฟเบอร์ที่ช่วยในการขับถ่ายได้สบายและคล่องขึ้นไม่ต้องออกแรงเบ่งมาก จึงเหมาะในการกินเพื่อใช้ในการปรับพฤติกรรมการขับถ่ายตามเวลาได้ 

ในเรื่องการปรับพฤติกรรมการขับถ่าย การเลือกกินผลไม้ต่างๆ การดื่มน้ำ หรือจะปรึกษาแพทย์ สรุปแล้วคนที่จะกำหนดการขับถ่ายให้เป็นเวลาก็คือตัวเราเอง พยายามถ่ายเวลาเดิมทุกเช้า ไม่ต้องออกแรงเบ่งมาก หากเกินกว่า 10 นาทีแล้วยังไม่มีการขับถ่าย ก็ให้พอก่อน แล้วเริ่มกันใหม่ในวันพรุ่งนี้

ติดตามข่าวสุขภาพและติดตามหญิงตั้งครรภ์สูบบุหรี่ “เสี่ยงแท้ง” และยังเป็นอันตรายต่อเด็กในท้องอีกด้วย

Bim Posted on 3:42 pm

รู้หรือไม่!! ยาเสพติดที่ชื่อว่า กัญชา เราสามารถนำมาใช้รักษาโรคได้จริงๆ

กัญชา ที่คนทั่วไปมองว่าเคยเป็นยาเสพติด ในปัจจุบันนี้ได้ถูกทำให้กลายเป็นยา ซึ่งคนทั่วไปควรที่จะมีสิทธิ์ในการได้ใช้รักษาโรคเพื่อตัวเอง และในประเทศไทยตอนนี้ควรปลดล็อคให้มีการศึกษากัญชาเพื่อให้นำไปสู่การใช้ได้ถูกต้อง ถูกวิธี 

กัญชา สามารถนำมาใช้รักษาโรคได้

จากการสำรวจพบว่าในประเทศไทย มีคนแอบใช้กัญชาประมาณ 2 ล้านคน แต่มีเพียงแค่หมื่นคนเท่านั้นที่มีการขึ้นทะเบียนปลูกกัญชาอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งยังมีข่าวลือว่า ประเทศไทยมีการนำเข้ากัญชาจากต่างประเทศ จึงทำให้เกิดความเป็นห่วงว่าจะมีการผูกขาดกลุ่มทุน ทั้งที่ประเทศไทยก็มีศักยภาพเพียงพอในการปลูก 

กัญชา

องค์กร WHO ได้พยายามผลักดันกัญชาให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่สารเสพติด โดยการศึกษาสารในตัวของกัญชาที่มีสารหลักอยู่  2 ตัว ก็คือ THC (Tetrahydrocannabinol)  แม้จะมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคสูง แต่ก็มีผลเสียที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท ซึ่งทำให้เกิดอาการมึนเมาได้ ควรมีการควบคุมในการใช้ให้เหมาะสม 

และสารที่สำคัญอีกตัวก็คือ CBD (Cannabidiol) ไม่ทำให้เราเสพติด ไม่ทำให้มึนเมา แต่มีคุณสมบัติรักษาโรค สามารถใช้งานทางการแพทย์ได้ดี ปัจจุบันทุกคนทราบกันดีว่ากัญชา สามารถรักษาโรคทางระบบประสาทได้ในบางโรค ซึ่งในประเทศทางยุโรปก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องใช้รักษาโรคใดโดยเฉพาะ แต่ต้องมีแพทย์คอยควบคุมและเป็นผู้กำหนดในการใช้ 

ตัวอย่างโรคที่สามารถใช้กัญชา นการรักษาได้ก็คือ โรคลมชักชนิดรุนแรง ซึ่งพบว่าเจ้าตัว CBD ที่เป็นสารในตัวกัญชาสามารถช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิตจากการชักได้มากขึ้น ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายจากยากันชักที่มีราคาสูงถึง 8,000 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่รักษาโรคลมชักได้ ยังสามารถรักษาอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย เพราะการใช้กัญชาในปริมาณที่น้อย สามารถทำให้แคนนาบินอยด์ในร่างกายของเรา ทำงานได้ปกติ 

กัญชา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำกัญชามาใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย เพื่อช่วยบรรเทาการเจ็บปวดที่เกิดจากโรค ซึ่งเจ้าแคนนาบินอยด์นี้ จะเป็นตัวช่วยปรับสภาวะอารมณ์ ทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจเพื่อใช้ชีวิตต่อไป แต่ก็ต้องรักษาควบคู่กับแพทย์แผนปัจจุบันด้วย

สรุปแล้วก็คือกัญชาเป็นพืชสมุนไพรที่สามารถให้ทั้งประโยชน์และโทษได้ หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไป ดังนั้นจึงควรใช้กัญชาในปริมาณที่เหมาะสมและควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการใช้กัญชานี้ เป็นการใช้เพื่อประโยชน์ในการรักษาโรคจริงๆ กัญชาเป็นความหวังสำคัญสำหรับผู้ที่เป็นโรคร้ายในปัจจุบัน และยังช่วยลดต้นทุนในการนำยารักษา ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศในราคาแพงอีกด้วย

ติดตามข่าวสุขภาพและติดตามข่าวสุขภาพอื่นๆได้อีก เช่น ประโยชน์ การดื่มน้ำตอนเช้า บอกเลยว่าสามารถช่วยในเรื่องของสุขภาพได้ดีมากๆ